ศ.
ค. 2022) ที่ระบุว่า GDP ของ 5 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในอาเซียน ประกอบด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และไทย ในปีนี้ จะเติบโตต่ำลงเหลือ 4. 9% ซึ่งลดลง 0. 2% จากผลสำรวจครั้งก่อน เมื่อ ธ. ปีที่แล้ว ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนประกอบด้วย 1. การแพร่ระบาดของโควิด 19 สายพันธุ์โอไมครอน ที่ผู้ติดเชื้อมีอาการไม่รุนแรง และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนของแต่ละประเทศที่เพิ่มขึ้น ช่วยให้แต่ละประเทศสามารถผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินได้ตามปกติ การบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยวฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงในอนาคตยังขึ้นกับมีโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายเพิ่มขึ้นหรือไม่ และประเด็นที่ต้องจับตา คือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ในจีน ว่ารัฐบาลจีนสามารถควบคุมได้มากน้อยเพียงใด 2. สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะไม่แน่นอน กระทบราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิด ทำให้ต้นทุนขนส่งแพงขึ้น ซ้ำเติมปัญหาการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งก่อนเกิดสงคราม คาดว่าจะคลี่คลายลง ให้หนักและขยายตัวออกไป นอกจากนี้สงครามยังส่งผลต่อตลาดเงินและตลาดทุน ส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นทั้งการบริโภคภาคครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม OECD ประเมินว่าสงครามกระทบเศรษฐกิจในเอเชียเบากว่าที่เกิดในประเทศกลุ่ม OECD โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนที่ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก 3.
ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม
เศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน เผชิญความเสี่ยงใหม่จากภัยสงคราม นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกกำลังเปลี่ยนทิศทางเพื่อรับมือเงินเฟ้อ ทั้งหมดนี้สร้างความท้าทายต่อไทยและอาเซียน โดยเศรษฐกิจไทยถูกประเมินว่า จะขยายตัวต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียนด้วยกัน เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนกำลังฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 แต่สงครามรัสเซียและยูเครนทำให้การฟื้นตัวเปราะบางกว่าที่เคยประมาณการไว้ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) คาดว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนจะขยายตัว 5. 2% ในระหว่างปี 2022 และ 2023 ซึ่งใกล้เคียงกับที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ประเมินว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะขยายตัวที่ 5. 2% ในปีนี้และ 5. 3% ในปีหน้า โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนเติบโตในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การส่งออกที่ขยายตัว และการบริโภคภายในที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะการส่งออก ที่ตั้งแต่ปีก่อน เป็นหัวจักรสำคัญให้เศรษฐกิจหลายประเทศฟื้นจากโควิด หลายประเทศเช่นมาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย มีการส่งออกกลับมาสู่ระดับก่อนโควิดเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน เศรษฐกิจอาเซียนพลอยได้รับผลกระทบ ดังผลสำรวจรายไตรมาสของ Japan Center for Economic Research และ Nikkei ณ ไตรมาสแรก ปี 2022 (สำรวจระหว่าง 4-24 มี.
สถานการณ์เงินเฟ้อ ADB ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อของภูมิภาคอาเซียนจะเพิ่มไปที่ 3. 7% ในปี 2022 และลดมาอยู่ที่ 3. 1% ในปี 2023 อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นกดดันต้นทุนการผลิต ราคาสินค้า และค่าครองชีพให้เพิ่มสูงขึ้น 4. ความเสี่ยงจากธนาคารกลางหลายแห่ง โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ที่มีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินแบบหดตัวเพื่อสู้เงินเฟ้อ ส่งผลให้ดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในขาขึ้น ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ และการลงทุนภาคเอกชน 5. เศรษฐกิจจีน จีนในฐานะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ นำเข้าสินค้าจากหลายประเทศอาเซียนในสัดส่วนสูง หากเศรษฐกิจจีนเติบโตดี ก็ช่วยให้เศรษฐกิจอาเซียนดีไปด้วย อย่างไรก็ตามจากมาตรการควบคุมโควิดที่เข้มข้นของรัฐบาล และการแพร่ระบาดในเมืองต่างที่ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจจีนปีนี้ถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตลดลงจาก 8. 1% ในปีก่อน เป็น 5% ในปีนี้และ 4. 8% ในปีหน้า จากปัจจัยเสี่ยงข้างต้น ทำให้ตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียลดลงจากปีก่อนที่ 6. 9% เหลือเพียง 5. 2% ในปีนี้ และ 5. 3% ในปีหน้า โดยเฉพาะบางประเทศที่เสี่ยงได้รับผลกระทบหนัก จากการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์ สินค้าที่ได้รับผลกระทบหนักจากสงคราม ทั้งนี้ ผลสำรวจ ณ ไตรมาสแรกปี 2022 ของ Japan Center for Economic Research และ Nikkei พบว่า GDP ไทยปีนี้ขยายตัวต่ำสุดเมื่อเทียบกับอีก 5 ประเทศอาเซียนที่อยู่ในการสำรวจ ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ โดยประมาณการ GDP ของอินโดนีเซียคาดว่าโตที่ 5% มาเลเซียโต 6.
6 โดยเฉลี่ยในปีนี้ และร้อยละ 4. 0 ในปีหน้า ส่วนเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการค้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น คาดว่าจะเติบโตโดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 4. 9 ในปีนี้ และร้อยละ 5. 2 ในปี 2566 สำหรับเศรษฐกิจภูมิภาคแปซิฟิกซึ่งพึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างสูงนั้น คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 3. 4 ในปี 2566 หลังจากเติบโตติดลบที่ร้อยละ 0. 6 ในปี 2564 เศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกนั้น คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 4. 7 ในปีนี้ และร้อยละ 4. 5 ในปี 2566 ในขณะที่เศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 5. 0 ในปีนี้ และร้อยละ 4. 8 ในปีหน้า ท่ามกลางการส่งออกที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง สำหรับเอเชียใต้นั้น คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7. 0 ในปี 2565 และร้อยละ 7. 4 ในปี 2566 โดยอินเดียซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในอนุภูมิภาคนี้ คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 7. 5 ในปีงบประมาณนี้ และร้อยละ 8. 0 ในปีงบประมาณหน้า สำหรับเศรษฐกิจไทย เอดีบีคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 3 ในปีนี้ และขยายตัวร้อยละ 4. 5 ในปี 2566 เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัของเศรษฐกิจอย่างช้าๆ ตั้งแต่ 2-3 เดือนสุดท้ายของปี 2564 และคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2565 อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยงขาลง ทั้งการระบาดรอบใหม่ของโควิด 19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสายพันธุ์ใหม่ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมทั้งค่าครองชีพและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นในประเทศไทย ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะปรับสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน โดยคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.
อาทิตย์ที่แล้วผมได้รับเชิญจาก Astana Club ซึ่งเป็นกลุ่ม Think Tank ของประเทศในเอเชียกลางให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่ปีหน้า กิจกรรมดังกล่าวเพื่อรวบรวมเป็นรายงานความเสี่ยงของประเทศในยุโรปและเอเชีย ประจำปี 2022 ซึ่งผมก็ตอบรับ เพราะเห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่จากนี้ไป รวมถึงไทย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จะมีข้อจำกัดมาก วันนี้จึงอยากแชร์ความเห็นของผมเรื่องนี้ให้แฟนคอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์บัณฑิต" ทราบ กองทุนการเงินระหว่างประเทศในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกล่าสุดปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปีนี้ลงเป็นร้อยละ 5. 9 และเป็นร้อยละ 4. 9 ปีหน้า แต่ที่สำคัญคือ ไอเอ็มเอฟมองว่าความเร็วในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมและประเทศตลาดเกิดใหม่จะต่างกันมากคือ ระดับการผลิตในเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับก่อนโควิดได้ในปี 2024 ขณะที่ประเทศตลาดเกิดใหม่ระดับการผลิตในปี 2024 จะยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด แสดงว่า เศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่ จะใช้เวลาอย่างน้อยห้าปีที่จะฟื้นตัวจากโควิด ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดในการฟื้นตัวที่มีมาก และสำหรับเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ไอเอ็มเอฟประเมินว่าการขยายตัวจะชะลอต่อเนื่องจากร้อยละ 7.